Thursday, October 29, 2015

ศัลยกรรมความงามปากบางหรือปากกระจับ

ศัลยกรรมริมฝีปากสวย


ริมฝีปากสวย ในแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

การศัลยกรรมริมฝีปากในแต่ละแบบนั้น ความจริงมีความแตกต่างกันแค่เทคนิคของการเย็บของศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัด หากต้องการให้ริมฝีปากสวยเข้ารูปเป็นทรงกระจับ แพทย์แต่ละคนก็จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป หรือความต้องการที่จะเห็นความแตกต่างจากปากหนาเป็นปากบาง และจากปากบางเป็นปากหนาก็เท่านั้นเอง

ทำตัวให้พร้อมก่อนศัลยกรรม

ทุกๆครั้งถ้าได้ชื่อว่าการผ่าตัดศัลยกรรม ผู้ที่ได้รับการรักษาจะต้องมีการเตรียมตัว เพื่อเป็นการดีควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและงดการสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาจำพวกแอสไพริน วิตามินอี พริมโรส น้ำมันตับปลา เพื่อผลที่ดีระหว่างทำการผ่าตัด และสำคัญควรดูแลดูแลเกี่ยวกับความสะอาดในช่องปากด้วย


ริมฝีปากบางให้ได้รูปดูดี มีวิธีทำอย่างไร


ริมฝีปากบน

ก่อนที่จะได้ริมฝีปากนั้นสวยนั้น แพทย์จะต้องทำการวาดสัดส่วนของเนื้อเยื่อที่จะต้องตัดออกไป เพื่อเป็นการสังเกตวิเคราะห์รูปร่างของริมฝีปากก่อน ที่จะมีการฉีดยาชาที่มีส่วนผสมของ อะดรีนาลีนเพื่อช่วยให้เลือดนั้นหดตัวเพราะบริเวณริมฝีปากของเรานั้นมีเส้นเลือดอยู่จำนวนมาก วิธีนี้ก็จะทำให้เลือดออกในระหว่างการผ่าตัดน้อยลง เมื่อตัดเนื้อเยื่อบริเวณที่ไม่ต้องการออกแล้ว ศัลยแพทย์จะเย็บแผลโดยการเย็ยซ่อนรอยแผลเป็นไว้ด้านในของริมฝีปากด้วยไหมละลาย


ริมฝีปากล่าง

ก็เช่นเดียวกับริมฝีปากบน ซึ่งไม่แตกต่างกัน แพทย์จะทำการวิเคราะห์และวาดรูปทรงก่อนที่จะฉีดยาชาลงไปในส่วนที่ต้องการผ่าตัด ซึ่งแผลจะถูกกรีดยาวตลอดแนวปากแล้วแต่ขนาดและรูปทรงที่เหมาะสม โดยแพทย์ที่ทำการรักษาจะเป็นผู้วิเคราะห์และตกลงกับคนไข้ก่อนทำการรักษา

การทำปากให้เข้ารูปปากกระจับ หรือ Cupid Bow
วิธีนี้ไม่ได้แตกต่างจากการทำริมฝีปากบนสักเท่าไหร่ เพียงแค่แพทย์จะทำการ ตัดเนื้อเยื่อและมีการตัดแต่งอาจจะโดยวิธีการใช้ไหมละลายเย็บเนื้อเยื่อบริเวณริมฝีปากด้านบนให้เป็นหยักที่ริมฝีปากตรงกลางด้านบนให้ดูเข้ารูปสวยงาม

การศัลยกรรมจากปากบางให้เป็นหนา

ไม่แค่คนริมฝีปากหนาเท่านั้นที่จะมีปัญหา คนริมฝีปากบางก็อยากทำให้หนาเช่นกัน ปัจจุบันก็มีทั้งการฉีดสารเติมเต็ม หรือไขมันของตัวคนไข้เอง เพื่อเพิ่มความหนาและอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ทั้งนี้การฉีดสารทุกชนิด จะต้องศึกษาและเข้ารับการฉีดในสถานประกอบการและที่ทำการรักษาควรจะได้รับใบรับรองการประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องเท่านั้น ไม่ควรไปฉีดกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์เพราะอาจเกิดอันตรายได้

การดูแลรักษาหลังการผ่าตัด

การดูแลหลังการรักษาหลังทำนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

  • หลังจากวันแรกสิ่งที่ควรทำคือนอนหมอนสูงหรือยกศีรษะให้สูง ประคบด้วยความเย็น วิธีนี้จะช่วยลงอาการบวมได้ ริมฝีปากจะบวมและค่อยๆ ยุบลงและเป็นปกติภายในระยะเวลา 1-3 เดือน
  • หมั่นทำความสะอาดหรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ เพราะการบ้วนปากเป็นเหมือนการสมานแผลและล้างแผลไปในตัว
  • ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด หลีกเลี่ยงอาหารร้อน
  • หลังจากบาดแผลแห้งสนิทดี ให้เริ่มนวดปากได้โดยใช้นิ้วคลึงเบาๆ บริเวณแผลผ่าตัดเพื่อลดการดึงรั้งของบาดแผลและหมั่นทาลิปที่ริมฝีปากให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
  • ในช่วงระยะเวลา  1 เดือนไม่ควรยิ้มหรือฉีกปากกว้างเพื่อป้องกันแผลฉีก
  • งดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนเป็นเวลา 2 สัปดาห์

Friday, October 16, 2015

ปัญหาเคสผ่าตัดศัลยกรรมความงามที่ไม่ได้ทำโดยแพทย์เฉพาะทาง

ปัญหาเคสผ่าตัดศัลยกรรมจมูกที่ไม่ได้ทำโดยแพทย์เฉพาะทาง หรือ ศัลยแพทย์



เป็นเรื่องจริงค่ะที่แพทย์ทุกคนมีสิทธิ์ทำการผ่าตัดรักษาศัลยกรรมอะไรก็ได้ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะมีคนไข้ที่ผ่าตัดแล้วได้รับผลเสีย ผลข้างเคียง จนบางรายถึงขั้นเสียชีวิตจากฝีมือแพทย์ผู้ไม่เชี่ยวชาญเหล่านี้...

คุณหมอกล่าวว่าถึงแม้จะเป็นเคสที่แพทย์เฉพาะทาผ่าตัดรักษาแล้วจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่การที่รักษากับแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านการเรียนมาอย่างเข้มข้น 3-5 ปีนั้น โอกาสที่จะเกิดปัญหานั้นย่อมน้อยกว่าแพทย์ทั่วไปที่ไปดูงานระยะสั้นมาก ส่วนตัวคุณหมอมีเคสหลุดมาปรึกษาค่อนข้างมาก ประเมินดูคร่าวๆจะเป็นเคสหลุดจากหมอทั่วไปประมาณ 80% และเคสหลุดจากหมอเฉพาะทางประมาณ 20%

ความแตกต่างของการหลุดระหว่างแพทย์ทั่วไปและแพทย์เฉพาะทาง คือ ถ้าไปผ่าตัดกับแพทย์ที่ไม่เชียวชาญจริงๆ มักจะมีความเสียหายมากกว่า เช่น การไปทำจมูกแบบเปิดปลายเทคนิคเปิด ( Open Rhinoplasty ) อาจจะมีการเปิดและเย็บแผลที่ไม่ถูกต้องถึงทำให้แผลเบี้ยวเองหรือผิดรูปได้ในภายหลังดังรูป แต่เคสของหมอเฉพาะทางมักหลุดเรื่องเล็กน้อยเช่นทรงไม่สวย เบี้ยวเอียง

ปัญหาจากการทำจมูกแบบเปิดตอนนี้พบได้มากขึ้นกว่าเดิมมาก คงเป็นเพราะมีหมอตามคลินิกไปดูงานที่เกาหลีแล้วนึกว่าง่าย เลยมาหัดทำกับคนไข้ แต่เนื่องจากไม่มีพื้นฐานที่ดีพอ เคสจึงหลุดเยอะ
การผ่าตัดแบบเปิดปลายนั้นมีข้อดีมากก็จริง แต่เป็นหัตถการที่ทำค่อนข้างยากและเวลาเกิดปัญหาจะแก้ยากมากเพราะเนื้อแกนกลางจมูกจะจะเสียหายเป็นผลให้เกิดการหดตัวดึงรั้งทำให้เกิดการผิดรูป

ดังนั้นหากคิดจะทำจมูกแบบโอเพ่นแล้ว ต้องเช็คประวัติหมอให้ละเอียดเลยทีเดียวครับ ชนิดทีไม่ได้ฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง มีแต่ดูงานสั้นๆที่เกาหลีนี่ สมควรต้องหลีกหนีให้ไกลเลยจะดีกว่าค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นหน้าที่และวิจารณญาณของคนไข้ที่จะตัดสินใจเลือกแพทย์ที่เหมาะสม โดยดูจากวุฒิการศึกษา ผลงาน การเอาใจใส่ดูแล และความถี่ของการหลุดของเคส 

ใบหน้าร่างกายเป็นของท่านเอง เพราะฉะนั้นแล้วก่อนจะตัดสินใจให้ใครมาทำอะไรกับตัวเราก็ควรจะคิดพิจารณาให้มากๆหน่อยนะคะ เพราะของบางอย่างที่ถูกตัดออกไปจากร่างกายเราแล้วไม่สามารถเอากลับคืนได้ค่ะ อย่าไปหลงโฆษณาชวนเชื่อที่มีราคาถูกจนมากเกินไป เพราะอาจจะเกิดผลร้ายที่ทำให้คุณต้องมาหาหมอแก้ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและไม่รู้ว่าจะเหมือนเดิมหรือสวยขึ้นรึเปล่า

ขอบคุณข้อมูลที่มีประโยชน์จาก

Dr.Surawej Numhom นายแพทย์สุรเวช น้ำหอม

Thursday, October 15, 2015

ศัลยกรรมความงาม คือ อะไร

ศัลยกรรมความงาม คือ อะไร

สวยด้วยแพทย์ สวยด้วยศัลยกรรม 

ปัจจุบันนี้ ความสวยงามของใบหน้าและรูปร่าง เนรมิตได้ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ ตัดส่วนที่เกิน เสริมส่วนที่ขาด ด้วยวิธีการผ่าตัด ที่เราเรียกว่า #การทำศํลยกรรม เรามารู้จักกับ #ศัลยกรรมตกแต่งกันค่ะ
ควา่มเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับ ศัลยกรรมตกแต่ง นั้น ไม่ค่อยตรงกับความเ็ป็นจริงเท่าไรนัก กล่าวคือ ประชาชนทั่วไปมักเข้าใจว่า #ศัลยกรรมตกแต่ง คือ #ศัลยกรรมความงาม เท่านั้น จริงๆแล้วศัลยกรรมตกแต่ง เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ของ ศัลยกรรม โดยเ้น้นกาีรผ่าตัดที่ปราณีตละเอียดอ่อน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1) ศัลยกรรมความงาม ( Aesthetic Surgery )เป็นการผ่าตัดเสริมสวยเพื่อให้ดูดีขึ้น สวยงามขึ้น สอดคล้องกับโครงสร้างของบุคคลผู้นั้น
2) ศัลยกรรมเสริมสร้าง ( Reconstructive Surgery ) 
เป็นการผ่าตัดเสริมสร้างส่วนที่ขาดหายไปจาก
  • ความผิดปกติแต่กำเนิด : ปากแหว่ง, เพดานโหว่ เป็นต้น
  • อุบัติหตุ : กระดูกใบหน้าหัก, นิ้วขาด, แขนขาขาด, ไฟไหม้, น้ำร้อนลวก เป็นต้น
  • มะเร็ง : มะเร็งผิวหนัง, มะเร็งช่องปาก, มะเร็งเต้านม เป็นต้น
  • การติดเชื้อ : แผลติดเชื้ออย่างรุนแรง, โรคเรื้อน เป็นต้น
เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดี (form) และสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงปกติที่สุด (function)
กว่าจะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง
ศัลยแพทย์ตกแต่ง ทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก โดยเริ่มจากการศึกษาฝึกงาน เพื่อเป็นแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ( General practitioner,GP ) 6 ปี จากนั้น จึงศึกษาต่อ ทางด้านศัลยกรรม ทั่วไป นาน 4 ปี เพื่อเป็นพื้นฐาน ทางด้าน ศัลยกรรมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเ้ท้า
เมื่อศึกษาครบ 4 ปี ศัลยแพทย์ตกแต่งจะศึกษาต่อทางด้าน ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งจะใช้เวลา การศึกษานาน 2 ปี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มวิชาใหญ่ๆ คือ ศัลยกรรมความงาม ( Aesthetic Surgery ) และ ศัลยกรรมเสริมสร้าง( Reconstructive Surgery )
สถานที่ฝึกอบรมศัลยแพทย์ในประเทศไทย ปัจจุบันนี้มีอยู่ 5 แห่ง ได้แก่
  1. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
  2. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  3. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
  4. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
  5. โรงพยาบาลเลิดสิน

ในปีหนึ่งๆ จะมี ศัลยแพทย์ตกแต่ง ที่ผ่านการฝึกอบรม และสอบวุฒิบัตรได้ ไม่เกิน 15 คนต่อปี จะเห็นได้ว่า กว่าจะเป็น ศัลยแพทย์ตกแต่ง นั้น ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนกันมาอย่างหนัก
ดังนั้น ถ้าท่านคิดจะทำศัลยกรรมตกแต่ง ท่านควรจะปรึกษา ศัลยแพทย์ตกแต่ง เพื่อขอคำแนะนำต่อไป
สำคัญมากนะคะ ก่อนจะตัดสินใจ ทำศัลยกรรม ควรศึกษาหาข้อมูล และ เข้ารับการผ่าตัดตกแต่งกับ ศัลยแพทย์ตกแต่ง เท่านั้น มิฉะนั้น ท่านอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

Wednesday, October 14, 2015

เทคนิคการเลือกขนาดหน้าอกให้เหมาะกับรูปร่างก่อนเสริมหน้าอก

เทคนิคการเลือกขนาดหน้าอกให้เหมาะกับรูปร่างก่อนเสริม

แนวโน้มในการเสริมหน้าอกในปัจจุบัน นอกจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ในเรื่องของขนาดก็ยังต้องเสริมให้มีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วย สมัยก่อนขนาดหน้าอกที่นิยมเสริมจะอยู่ที่ไม่เกิน 300 ซีซี แต่ปัจจุบันโดยส่วนใหญ่มักต้องการเสริมมขนาดตั้งแต่ 300 ซีซีขึ้นไป แต่ด้วยความที่รูปร่างลักษณะของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น การเสริมหน้าอกให้มีขนาดที่ต้องการอาจมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบาง ตัวเล็ก ไม่มีเนื้อนมไขมันบริเวณหน้าอกมีน้อย และเพศที่สามที่นอกจากจะมีเนื้อน้อยแล้ว ยังมีอุปสรรคในเรื่องของสรีระเพศชาย ที่มีโครงสร้างกระดูกใหญ่ กล้ามเนื้อบึกบึน ซึ่งทั้งสองกรณีต้องอาศัยเทคนิคพิเศษและความเชี่ยวชาญของแพทย์ในการผ่าตัดเสริม เพื่อให้หน้าอกคู่นั้นออกมาดูแลสวยงาม เหมาะสม และดูเป็นธรรมชาติ รับกับสัดส่วนของร่างกายทั้งหมดได้ดีมากขึ้น

ขนาดของหน้าอกที่เหมาะสมเป็นอย่างไร

คงไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ขนาดเต้านมที่เหมาะสมเป็นอย่างไร ขึ้นกับความชอบส่วนตัว ค่านิยม อาชีพ และคนรอบข้าง อย่างเช่น นางแบบที่เดินแฟชั่นโชว์จะไม่ชอบเต้านมใหญ่ เพราะจะดูอ้วนและไม่เข้ากับเสื้อผ้าของดีไซน์เนอร์ แต่กลุ่มที่ต้องใส่เสื้อผ้าเกาะอกอาจชอบขนาดเต้านมที่ใหญ่กว่า เพราะดูเนินอกเต็ม เป็นต้น แต่ที่แน่ๆ ขนาดที่เหมาะสมคือขนาดที่ไม่ทำให้เกิดปัญหากับเจ้าของเต้านม ไม่ใหญ่จนมีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง หรือเกิดผื่นเชื้อราใต้ราวนม เคยมีการศึกษาสอบถามความชอบของขนาดเต้านม เมื่อให้ดูรูปภาพหลายๆ ภาพ พบว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงที่มีขนาดของเต้านมประมาณคัพ B+ ถึง C (สังเกตว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ชอบเต้านมที่มีขนาดใหญ่มากๆ เช่นกัน อาจดูน่ากลัวหรือแม่วัวจนเกินไปก็เป็นได้) สำหรับขนาดเต้านมที่นิยมมีการเปลี่ยนไปตามยุคสมัย การเสริมเต้านมในปัจจุบันต้องยอมรับว่าความต้องการซิลิโคนนั้น มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อก่อนนิยมใส่ขนาด 150-250 ซีซี แต่ในปัจจุบันนิยมประมาณ 300 ซีซีขึ้นไป ทั้งนี้ ขึ้นกับขนาดตัวของผู้ที่ต้องการเสริมด้วย


ปัญหาการเสริมหน้าอกในผู้หญิงรูปร่างผอมบางและเพศที่สามคืออะไร

ปัญหาของคนสองกลุ่มคือ ผู้หญิงตัวเล็ก ผอมบางและเพศที่สาม มีปัญหาที่แตกต่างกันและมีปัญหาที่คล้ายกันอยู่บางประเด็นคือ

(1) ปัญหาความกว้างของหน้าอก โดยสรีระของผู้หญิงตัวเล็กจะมีความกว้างของผนังหน้าอกที่แคบ ส่วนเพศที่สามจะมีผนังหน้าอกที่กว้างกว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่ตัวเล็กเมื่อเทียบกับเพศชายด้วยกัน แต่ก็มักจะมีความสูงกว่าและผนังหน้าอกกว้างกว่าเพศหญิงที่ตัวเล็ก ซึ่งความกว้างของผนังหน้าอกนี้จะเป็นตัวกำหนดขนาดสูงสุดของฐานซิลิโคนที่จะใส่ได้


(2) ปัญหาเนื้อเต้านมน้อย ส่วนที่คล้ายกันของคนที่ผอมบางและเพศที่สามคือความบางของส่วนที่อยู่เหนือซิลิโคน ในหญิงตัวเล็กที่มีเนื้อเต้านมน้อยร่วมกับผิวหนังและกล้ามเนื้อที่บาง ก็จะมีส่วนที่อยู่เหนือซิลิโนบาง ส่วนในเพศที่สามแม้ผิวและกล้ามเนื้อจะหนากว่าบ้าง แต่ไม่มีเนื้อเต้านมหรือมีจากการทานฮอร์โมน ซึ่งเนื้อเต้านมอาจหายไปหลังจากหยุดทานฮอร์โมน ทั้งหมดนี้ทำให้หลังจากการเสริมเต้านมมีส่วนที่อยู่เหนือซิลิโคนน้อย ซึ่งจะทำให้สามารถเห็นขอบหรือเป็นรอยริ้วๆ จากภายนอกได้หลังทำผ่าตัดไปแล้วระยะหนึ่ง


(3) ปัญหาการเลือกแผลผ่าตัด อันนี้เป็นปัญหาของเพศที่สามที่มักพบปานนมมีขนาดเล็ก ทำให้บางครั้งไม่สามารถใส่ซิลิโคนผ่านทางปานนมได้

ปัญหาที่เกิดจากการเสริมหน้าอกขนาดใหญ่เกินไป

หลักการสำคัญในการเสริมหน้าอก คือ การกำหนดขนาดของซิลิโคนให้พอเหมาะกับเส้นผ่าศูนย์กลางของหน้าอกแต่ละข้าง หรือเรียกว่าความกว้างของฐานหน้าอก (Breast width) ซึ่งถ้าหากว่าแพทย์ใส่อยู่ในมาตรฐานนี้แล้ว ก็จะทำให้หน้าอกนี้เสริมออกมาแลดูไม่ผิดสัดส่วน แต่ในกรณีบางคนมีความจำเป็นหรือมีความต้องการที่จะใส่ให้มีขนาดใหญ่กว่าที่ควรจะเป็นมากเกินไป อาจพบปัญหาได้คือ ซิลิโคนล้นออกมาทางด้านข้างมากขึ้น เพราะไม่สามารถขยับดันเข้าไปด้านในได้ เนื่องจากติดกล้ามเนื้อ ส่งผลทำให้ผิวหนังด้านข้างตึงขึ้น ผิวหนังที่บางอยู่แล้วมีลักษณะบางมากขึ้นไปอีก และเห็นขอบซิลิโคนได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดรอยย่นที่มีลักษณะคล้ายกระดาษพับ (Ripping breast) บริเวณขอบซิลิโคน หรืออาจทำให้มองเห็นซิลิโคนเป็นสองลอนหรือสองเต้า (Double Bubble) ดังนั้น เทคนิคในการเสริมจึงเป็นปัจจัยสำคัญ รวมทั้งชนิดของซิลิโคนที่เหมาะกับคนผอมบางไม่มีเนื้อนมด้วย


ลองไซส์ที่ชอบและเตรียวตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัด

เสริมหน้าอกให้ดูแล้วสวยงาม ต้องเตรียมตั้งแต่ก่อนผ่าตัด โดยการปรึกษากับแพทย์ผู้ที่จะทำผ่าตัดให้ โดยจะมีการตรวจร่างกาย วัดคาวมกว้างของผนังหน้าอก และให้ลองใส่ซิลโคนใต้เสื้อดูว่าขนาดไหนเป็นขนาดที่ชอบและสวยที่สุด ขนาดความกว้างของหน้าอกจะเป็นตัวกำหนดฐานของซิลิโคน ส่วนจะต้องการใหญ่มากหรือน้อย ทรงของซิลิโคนจะช่วยให้ใส่ได้ใหญ่ขึ้น โดยเลือกทรงที่สูงขึ้น เช่น ความกว้างของผนังหน้าอก 12 เซนติเมตร จะใส่ซิลิโคนทรงต่ำ (Low profile) ได้ 250 ซีซี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นทรงสูง (High profile) จะใส่ได้ถึง 375 ซีซี ขนาดของเต้านมก็จะใหญ่ขึ้นประมาณ 1 ถึง 2 คัพ ตามลำดับ คนที่ผอมบางไม่ค่อยแนะนำให้ใส่ใหญ่มาก เพราะนอกจากจะไม่เหมาะกับสรีระอันจะมีผลทำให้ปวดหลังได้แล้ว ยังจะเห็นขอบและรอยย่นของซิลิโคนภายหลังได้ง่าย บางครั้งหมอจะใช้ไขมันจากต้นขาหรือพุงมาเสริมเนื้อด้านบนให้ดูหนาขึ้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว อาจเติมไขมันก่อนเสริมหรือทำภายหลังเพื่อแก้ปัญหาก็ได้ ในต่างประเทศนิยมแก้ด้วยการใช้หนังเทียมหุ้มรอบซิลิโคนเพื่อแก้ไข แต่ราคายังค่อนข้างแพงจึงไม่เป็นที่แพร่หลายในบ้านเรา สำหรับเพศที่สามแนะนำเป็นทรงสูงหน่อย เช่น Moderate plus หรือ High profile เพราะถ้าใส่ทรงต่ำจะดูไม่ขึ้นเต้า

อกสวยเป็นธรรมชาติด้วยการเสริมใต้กล้ามเนื้อและใต้ผิวหนัง

วิธีการเสริมหน้าอกแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ การเสริมเหนือกล้ามเนื้อและใต้กล้ามเนื้อ โดยส่วนใหญ่มักจะเสริมใต้กล้ามเนื้อส่วนการเสริมเหนือกล้ามเนื้อ จะทำก็ต่อเมื่อคนไข้มีหน้าอกที่หย่อนคล้อยมากๆ และมีเนื้อหน้าอกค่อนข้างเยอะ เพราอาจทำให้เกิดปัญหาคลำได้ขอบซิลิโคนชัดเจน สำหรับเทคนิคเสริมใต้กล้ามเนื้อและใต้ผิวหนังนี้ เรียกว่า Dual plane เป็นการผ่าตัดเสริมซิลิโคนเข้าไปใต้กล้ามเนื้อและใต้ผิวหนังด้านข้าง ทำให้ขณะเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่น ยกแขนจะมมีปัญหาเรื่องดันเต้าขึ้น หากเป็นการเสริมใต้กล้าเนื้อเพียงยกแขน จะไม่มีปัญหาเรื่องดันเต้าขึ้น หากเป็นการเสริมใต้กล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียวเวลายกแขนจะมีการดึงเต้าขึ้น ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้น การใช้เทคนิค Dual plane ซึ่งเป็นการเสริมใต้กล้ามเนื้อส่วนหนึ่งและเสริมใต้เนื้อเยื่อผิวหนังส่วนหนึ่ง จึงทำให้หน้าอกแลดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยชนิดและรูปทรงของซิลิโคนที่เหมาะสมในแต่ละคน ก็อาจจะแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นในคนที่รูปร่างเล็ก ฐานตัวแคบ อาจจะต้องเลือกซิลิโคนชนิด High profile จะเป็นทรงกลมหรือทรงหยดน้ำก็ได้ แต่เลือกที่เป็นทรงสูงและมีฐานแคบ ก็จะทำให้หน้าอกไม่ล้นออกด้านข้างมากเกินไป แต่ในเพศที่สามที่มีฐานตัวกว้าง บางคนอาจต้องเสริมด้วยทรงกลมที่มีฐานกว้าง หรือชนิด Low profile ซึ่งมีลักษระแบนคล้ายจาน เพื่อไม่ให้หน้าอกดูห่างมากจนเกินไป แต่การเสริมหน้าอกในคนที่ไม่มีเนื้อหน้าอกเลย การใส่ใต้กล้ามเนื้อก็มีข้อจำกัดในเรื่องขนาดเช่นกัน เนื่องจากมีพื้นที่แคบลง แต่สามารถปรับแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเลือกรูปทรงที่จะใช้เสริมแทน โดยจะเป็นการเสริมด้วยทรงหยดน้ำแทนทรงกลม เพราะทรงหยดน้ำจะมีฐานที่แคบ แต่ส่วนของถุงจะมีลักษณะพุ่งออกไปด้านหน้ามากกว่า จึงทำให้หน้าอกแลดูมีขนาดใหญ่มากขึ้นได้


อกชิดเป็นร่องด้วยการวัดขนาดและเลือกซิลิโคนที่เหมาะสม

การวัดขนาดหน้าอกก่อนทำการผ่าตัดนับว่าเป็นเทคนิคสำคัญในการเสริมหน้าอกที่จะทำให้เกิดความแม่นยำมากขึ้น โดยการเลือกซิลิโคนขนาดที่เหมาะสมในแต่ละคน ต้องวัดความกว้างของฐานตัว ฐานหน้าอกความสูงของหัวนม ขนาดเนื้อที่มีอยู่เดิม ขนาดของกล้ามเนื้อ รวมทั้งเสริมซิลิโคนขนาดใหญ่กว่าปกติ เพราะถ้าเสริมในขนาดเท่ากับคนทั่วไป อาจมองไม่เห็นความแตกต่าง การเลือกวัสดุที่ใช้เสริมซึ่งก็คือซิลิโคนเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญ โดยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงร่างเล็กหรือเพศที่สามต่างก็อยากได้หน้าอกชิด ซึ่งการที่จะมีหน้าอกชิดหรือไม่ชิด ขึ้นอยู่กับการเลือกซิลิโคนให้เหมาะสมและการเลาะโพรง


สำหรับซิลิโคนที่ใช้เสริมหน้าอแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่า ซาไลน์ ฟิลล์ด ((Saline-Filled) ในถุงซิลิโคนบรรจุด้วยน้ำเกลือนั้น มีข้อดีคือเปิดแผลผ่าตัดไม่กว้าง เพราะการใส่ถุงน้ำเกลือเข้าไป จะสามารถพับให้มีขนาดเล็กได้ แล้วทำการฉีดน้ำเกลือเข้าไปภายหลัง เพื่อเพิ่มขนาดตามที่ต้องการ ดังนั้น จึงทำให้แผลผ่าตัดเล็ก มองไม่เห็นรอยแผลเป็นหลังผ่าตัด แต่ปัจจุบันในเมืองไทยใช้กันค่อนข้างน้อย สาเหตุเพราะความเป็นธรรมชาติมีน้อยกว่า เนื่องจากถุงน้ำเกลือค่อนข้างแข็งและกลม ลักษระรูปทรงไม่ค่อยสวย และน้ำเกลือสามารถรั่วซึมออกมาได้บริเวณวาล์วที่ใส่น้ำเกลือเข้าไป และหากมีลมอยู่ด้านในถุงน้ำเกลือเวลาเดินอาจได้ยินเสียงน้ำกระฉอกได้


สำหรับซิลิโคนชนิดที่สองที่ด้านในบรรจุด้วยซิลิโคนเจลนั้น ได้ถูกพัฒนาคุณภาพไปมาก โดยสามารถแบ่งระดับความคงตัวของซิลิโคนออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน ซึ่งมีผลต่อการเสริมหน้าอกให้ออกมาสวยงาม โดยระดับที่ 3 จะมีความคงตัวสูงที่สุด ทำให้ยึดติดได้ดี มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง หากถุงซิลิโคนแตกเนื้อซิลิโคนเจลจะไม่ไหลซึมออกมาเมหือนกับซิลิโคนเหลวในสมัยก่อน การเกิดแคปซูลจึงจะลดน้อยลง ส่วนลักษะของผิวจะมีผิวเรียบกับผิวทราย มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่มักจะใช้ผิวทราย ซึ่งพังผืดเกาะได้น้อยกว่า และลักษณะของผิวทรายก็ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้นไปอีก จากเดิมเป็นผิวทรายที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อลดการเกาะของพังผืด นับว่าซิลิโคนเจลที่ใช้ในยุคปัจจุบันค่อนข้างปลอดภัยและมีคุณภาพ รวมทั้งให้ความเป็นธรรมชาติทั้งการมองและให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติเมื่อสัมผัส


เข้าใจกระบวนการผ่าตัดและการปฏิบัติตัวหลังเสริม

นอกจากเทคนิคดังที่กล่าวมาแล้ว คนไข้จะต้องมีความเข้าใจในกระบวนการผ่าตัดเสริมหน้าอก ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด ขั้นตอนการผ่าตัด และการดูแลแผลหลังผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การเสริมหน้าอกในครั้งนั้นประสบความสำเร็จ โดยก่อนการผ่าตัดคนไข้จะต้องงดน้ำ งดอาหาร อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เมื่อเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแพทย์จะทำการวาดตำแหน่งที่จะทำการผ่าตัด ฉีดยาชา เปิดแผลผ่าตัดตามตำแหน่งที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปแผลผ่าตัดมี 4 ตำแหน่ง คือ รักแร้ ขอบล่างปานนม ใต้ฐานนม และราวนม จากนั้นจึงเลาะโพรงสำหรับใส่ซิลิโคนแล้วใส่ซิลิโคนเข้าไปใต้กล้ามเนื้อ เช็คตำแหน่งของซิลิโคนให้เท่ากันทั้งสองข้าง ใส่สายระบายแล้วเย็บปิด เมื่อทำการผ่าตัดเสร็จจะมีการพันผ้ากระชับเต้านมไว้ คนไข้อาจมีอาการปวดแผล เลือดออก ติดเชื้อ มีอาการชา เจ็บ หรือเสี่ยวที่หัวนม ซึ่งหากพบอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ หลังผ่าตัดคนไข้ควรดูแลตัวเองด้วยการงดกิจกรรมหรือออกกำลังกายหนักๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ แพทย์อาจแนะนำให้นวดคลึงเบาๆ บริเวณรอบเต้านมเพื่อเป็นการขยับโพรงของพังผืดที่จะมายึดเกาะซิลิโคน ทำให้เต้านมแข็ง เบี้ยว และเจ็บได้ ในระยะ 2 เดือน แรกควรใส่เสื้อกล้าม จากนั้นใส่ชุดชั้นในแบบไม่มีโครง และสามารถใส่ชุดชั้นในที่มีโครงได้หลังผ่าตัด 6 เดือนขึ้นไป โดยทั่วไปซิลิโคนจะเริ่มเข้าที่และทิ้งตัวดูเป็นธรรมชาติหลังผ่าตัดประมาณ 1 เดือนขึ้นไป และแผลผ่าตัดยุบเข้าที่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์หลังผ่าตัด 3 เดือนขึ้นไป

การผ่าตัดทำลักยิ้ม cheek dimples surgery

การผ่าตัดทำลักยิ้ม cheek dimples surgery



ลักยิ้ม คือรอยบุ๋มตามธรรมชาติที่บริเวณแก้ม ซึ่งเกิดจากการที่มีจุดที่ยึดผิวหนังบริเวณแก้มกับกล้ามเนื้อแก้มด้านล่างที่ทำหน้าที่ในการขยับปาก ด้งนั้นเมื่อมีการขยับของกล้ามเนื้อเช่นขณะยิ้มหรือพูดคุย ก็จะเกิดการดึงผิวหนังบริเวณนั้นให้เกิดเป็นรอยบุ๋มขึ้นมา
การผ่าตัดทำลักยิ้มก็คือ การทำให้เกิดจุดยึดติดระหว่างผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม เพื่อเลียนแบบลักยิ้มตามธรรมชาตินั่นเอง โดยอาศัยการเย็บเนื้อเยื่อดังกล่าวให้ติดกันไว้ตลอดเวลาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อรอจนกระทั่งร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมายึดเนื้อเยื่อนั้นไว้อย่างถาวร
ด้วยเหตุนี้หลังการผ่าตัดในช่วง 1-2 เดือนแรกจึงจำเป็นต้องมีรอยบุ๋มตรงตำแหน่งที่ทำลักยิ้มตลอดเวลา หลังจากนั้นเมื่อไหมเย็บละลายและพังผืดที่เกิดขึ้นเริ่มคลายตัวลง รอยบุ๋มหรือลักยิ้มจึงจะปรากฏเฉพาะเวลาที่ยิ้มเท่านั้น

ตำแหน่งลักยิ้ม



โดยทั่วไปแพทย์จะให้คนไข้เป็นผู้เลือกตำแหน่งของลักยิ้มเอง โดยใช้วัตถุปลายเล็กจิ้มกดบนแก้มแล้วลองยิ้มดู จนกว่าจะได้ตำแหน่งที่พอใจ แต่หากคนไข้ไม่สามารถตัดสินใจได้แพทย์จะช่วยให้คำแนะนำได้ ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้ว ลักยิ้มในคนเอเซียมักจะอยู่ที่ตำแหน่งที่เกิดขึ้นจากการลากเส้นสมมติสองเส้นมาตัดกัน โดยลากเส้นแนวดิ่งลงมาจากหางตาและเส้นแนวนอนจากระดับมุมปาก จุดตัดที่เกิดขึ้นจะเป็นตำแหน่งของลักยิ้มที่สวยงาม


การดูแลหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดสามารถยิ้มและพูดคุยได้ตามปกติ
อาจมีอาการบวมช้ำในบริเวณที่เย็บได้บ้าง จึงจำเป็นต้องประคบเย็นบ่อยๆในช่วง 1-2 วันแรก
การดูแลแผลผ่าตัดภายในปากทำได้ง่ายๆโดยการใช้น้ำยาบ้วนปากเบาๆหลังทานอาหาร และสามารถแปรงฟันได้แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้แปรงสีฟันไปกระแทกถูกแผล
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นของแข็ง อาหารร้อน หรืออาหารที่มีรสจัด และระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณแก้ม มิเช่นนั้นแผลอาจเกิดการอักเสบหรือแยกได้
แผลผ่าตัดจะหายเป็นปกติและไหมเย็บจะละลายเองภายในเวลาประมาณ 7-10 วัน

Tuesday, October 13, 2015

การผ่าตัด ถุงไขมันใต้ตา

การผ่าตัด ถุงไขมันใต้ตา

ถุงไขมันใต้ตา สัญญาณแห่งความร่วงโรย

ผ่าตัดถุงไขมันใต้ตาริ้วรอยรอบดวงตา และ ถุงไขมันใต้ตา ล้วนเป็นเครื่องบ่งชี้อายุของคุณ การผ่าตัดลดถุงไขมันใต้ตา นับเป็นวิธีที่ทำให้คุณดูอ่อนเยาว์สดใสได้ในพริบตา 
 ถุงไขมันใต้ตา เกิดจาก การป่องนูนของไขมันบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งปกติจะถูกกั้นไว้ด้วยกล้ามเนื้อเปลือกตาที่แข็งแรงทำให้ดูเรียบตึงแต่การขาดการดูแล ความเครียด และจากวัยที่เพิ่มมากขึ้น ไขมันส่วนนี้จะค่อยๆ นูนป่องออกมาทีละน้อยๆ จนเห็นได้ชัดขึ้นทุกทีแม้โปะเครื่องสำอางก็ไม่สามารถช่วยปกปิดร่องรอยดังกล่าวได้
วิธีที่ดีที่สุดที่จะลดถุงไขมันใต้ตาได้ก็คือ การผ่าตัดเอาถุงไขมันใต้ตาออก และแก้ไขความหย่อนยานของผิวหนังและกล้ามเนื้อเปลือกตาล่าง
- เป็นการผ่าตัดเปลือกตาล่าง เพื่อแก้ปัญหา ถุงไขมันใต้ตา และ ผิวหนังส่วนเกิน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์สดใส และ ดูไม่เหนื่อยล้า
 - เหมาะสำหรับบุคคลที่มี ถุงไขมันใต้ตา มากผิดปกติ รวมทั้งผิวหนังของตาล่างหย่อนตัวมากเกินวัย
 - การผ่าตัดถุงใต้ตาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องรอยตีนกาได้ ( Crow Feet )
 ผ่าตัด ถุงใต้ตา       
การวางยาสลบ
การใช้ยาชาเฉพาะที่ก็เพียงพอแล้วสำหรับ การผ่าตัด ดังนี้ท่านจะรู้ตัวตลอดระยะเวลาการผ่าตัด
การผ่าตัด
แผลผ่าตัด จะซ่อนอยู่ในเยื่อบุตา  ( Conjunctiva )  หรือ ที่ผิวหนังด้านนอกชิดขนตา ( Subcilliary )  ขึ้นกับดุลยพินิจของศัลยแพทย์ตกแต่ง และ ใช้เวลาประมาณ 1 - 1½ ชั่วโมง
หลังผ่าตัด
ตาบวม  : บวมมาก 3 วันแรก และจะยุบลงเรื่อยๆ และมักจะกลับไปทำงานได้ประมาณ 10 วันหลังผ่าตัด
ปวดตา  : มักจะมีเล็กน้อย ถ้าปวดมาก ควรปรึกษาศัลยแพทย์ของท่านโดยด่วน
จ้ำเลือด : อาจเกิดขึ้นได้รอบดวงตา และจะจางไปเองประมาณ 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน
- เลือดออก  การติดเชื้อ  เกิดรอยแผลเป็น เปลือกตาล่างแบะออก ( Ectropion ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้
- ชั่วคราวหลังผ่าตัด ถ้าเป็นอยู่นานมากกว่า  3  เดือน ให้ปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งของท่าน
การผ่าตัดลดถุงไขมันใต้ตา เป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาไม่นาน เมื่อถุงใต้ตาของคุณหายไป จะมีเพียงเปลือกตาล่างที่เรียบสวย คุณจะดูอ่อนเยาว์สดใสได้ในพริบตาเลยทีเดียวค่ะ 

Monday, October 12, 2015

ศัลยกรรม ผ่าตัด เสริมจมูก และ ตัดปีกจมูก

เสริมจมูก และ ตัดปีกจมูก เพื่อใบหน้าสวยสมส่วน ชวนมอง…

จมูก ถือว่าเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีผลต่อความสวยงามของใบหน้าไม่แพ้ดวงตาเลยค่ะ การมี จมูก ที่ สวยงามได้สัดส่วนโดยเฉพาะความสูงโด่งที่พอเหมาะและ การมี ปีกจมูก ที่เหมาะสมกับบริเวณสันจมูก จะเพิ่มความสวยงามให้ใบหน้าสวยสมส่วน ซึ่งคนเอเชียส่วนใหญ่ จมูก ไม่โด่งเท่ากับคนตะวันตก
การเสริมจมูก และ การตัดปีกจมูก ให้ได้รูปทรงในคนเอเชียจึงเป็นการผ่าตัดที่นิยมมากที่สุด อย่างหนึ่งในบรรดาการผ่าตัดศัลยกรรมความงาม

ก่อนทำ ศัลยกรรม ผ่าตัด เสริมจมูก และ ตัดปีกจมูก ต้องรู้อะไรบ้าง และ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง อ่านรายละเอียดได้เลยค่ะ 
วิธีการผ่าตัดเสริมจมูกและการตัดปีกจมูก
สำหรับวิธีการ ผ่าตัดเสริมจมูก และ การตัดปีกจมูก ไม่มีอะไรยุ่งยาก และ สามารถจะทำควบคู่พร้อมกันได้
ดังนั้นก่อนการผ่าตัด แพทย์ก็จะสอบถามความต้องการและ ซักประวัติความเจ็บป่วยโรคประจำตัว พร้อมทั้งพิจารณาลักษณะของจมูกเพื่อตัด -ตกแต่งให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับใบหน้า
ทั้งนี้ การผ่าตัดเสริมจมูก หรือ การตัดปีกจมูก ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ และความเหมาะสมกับใบหน้า ซึ่งคุณจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะทำไปทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปก็ได้
การเสริมจมูก
เป็นการตกแต่งโครงสร้างของ จมูก ให้ดูสูงขึ้น ทำให้โครงสร้าง จมูก มีรูปร่างที่สวยงามขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูก มีทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่มีโครง สร้างของจมูกแบนทั้งผู้ชายและหญิงสาวสามารถรับ การผ่าตัดเสริมจมูก ได้ ควรจะมีอายุอย่างน้อย 16 ปี ขึ้นไป
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก
  • ซิลิโคนอ่อน (Silicone)่
  • เนื้อเยื่อของร่างกาย ได้แก่ กระดูกและกระดูกอ่อน (แต่ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม)
การตัดปีกจมูก
เป็นการตกแต่งบริเวณ จมูก ส่วนล่างให้มีความเหมาะสมกับบริเวณสันจมูก และจมูกส่วนบน แก้ไข ปีกจมูก ที่ใหญ่ ลดขนาด รูจมูกที่กว้างและตัด ปีกจมูกที่กางออก
ขั้นตอนการผ่าตัด
แพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้คุณนอนหลับลดความวิตก ในส่วนของ การเสริมจมูก แพทย์จะนำแท่งซิลิโคนซึ่งได้ตกแต่งและทำ รูปร่างให้เรียบร้อยตามที่กำหนดไว้มาใส่ที่ สันจมูก โดยแผลที่ผ่าตัดจะมี ความยาวประมาณ 1 ซม. บริเวณขอบรูจมูกอาจจะเป็นข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ตามแต่ความถนัดของแพทย์
จากนั้นจะมีการผ่าตัดสร้างช่องว่าง (Pocket) ที่ สันจมูก ใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูกให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่เตรียมไว้ได้ เมื่อใส่เข้าไปก็ตรวจสอบความเรียบร้อย เย็บปิดแผลประมาณ 3 เข็ม ปิดพลาสเตอร์ หรือเฝือกจมูกเพื่อช่วยป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวมเป็นอันเรียบร้อย
ทั้งนี้การใช้วัสดุเย็บแผล หรือชนิดพลาสเตอร์ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์แต่ละท่านและในส่วนของ การตัดปีกจมูก แพทย์จะทำการผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกและจัดฐาน ปีกจมูก ใหม่ ขั้นตอนนี้แพทย์จะสามารถกำหนดความกว้างของรูจมูกได้ด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัดทั้งหมด แพทย์ใช้เวลาเพียง 30 - 45 นาที หลังการผ่าตัดให้นอนพักประมาณ 1 ชม. เพื่อประคบผ้าเย็น และให้หมดฤทธิ์ยานอนหลับ แล้วคุณก็สามารถกลับบ้านได้ ถ้ามีการตัดไหม แพทย์จะนัดหลังการผ่าตัด ประมาณ 5-7 วัน

ให้มาพบแพทย์หลังการผ่าตัดประมาณ 1 - 2 อาทิตย์ ตามที่แพทย์นัดโดยทั่วไป จมูก จะยุบบวมและเข้าที่ประมาณ 1 เดือน ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังพอสมควรเรื่องการโดนกระแทก และควรอยู่ห่างเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ เพราะต้องรอเวลาเพื่อให้แท่งซิลิโคนถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มให้แน่นมากๆ ก่อน (ประมาณ 1-3 เดือน) จึงจะสามารถทนแรงกระทบได้มาก แล้วคุณสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ พร้อมกับมี จมูก ที่โด่งสวยและมี ปีกจมูก ที่เหมาะสมกลมกลืนกับใบหน้าอีกด้วย
วิธีการดูแลหลัง การเสริมจมูก และ ตัดปีกจมูก
  • ประคบผ้าเย็นประมาณ 24-48 ชม. หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นประคบสลับกับน้ำเย็น
  • นอนศีรษะสูง หนุนหมอนประมาณ 2-3 ใบ
  • จมูก จะบวมประมาณ 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบ
  • ทานอาหารตามปกติ ยกเว้นอาหารรสจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และบุหรี่ ในช่วง 2 อาทิตย์แรก
  • พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ สามารถแกะออกได้ในวันที่ 3
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่ง

Friday, October 9, 2015

ควรรู้อะไรบ้าง ก่อน ผ่าตัด ทำศัลยกรรมเสริมความงาม

ควรรู้อะไรบ้าง ก่อน ผ่าตัด ทำศัลยกรรมเสริมความงาม
ข้อคิดก่อน ผ่าตัด ทำศัลยกรรม
การ ทำศัลยกรรม เป็นที่นิยมแพร่หลาย โดยเฉพาะการ ทำศัลยกรรมเสริมความงาม ถือเป็นทางลัดสู่ความงามที่สาวๆ นิยมทำกัน ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดใบหน้า เสริมจมูก ทำตาสองชั้น ผ่าตัดเสริมคาง ผ่าตัดดูดไขมัน และผ่าตัดลดกล้ามเนื้อน่องขา แต่การ ทำศัลยกรรม นั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเสริมความงามเท่านั้นนะคะ การ ทำศัลยกรรม มีหลายจุดประสงค์ ตามแต่เหตุผลของผู้ที่ต้องการทำค่ะ

เริ่มแรกเลย ศัลยกรรม คือ วิธีการรักษาโรคโดยวิธีการผ่าตัด ซึ่งมี การผ่าตัด ตามอวัยวะต่าง ๆ หรือ ประเภทของ คนไข้ เช่น ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ศัลยกรรมระบบประสาท ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่ง การผ่าตัด ในแต่ระบบ จะต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางโดยเฉพาะค่ะ
การผ่าตัด ศัลยกรรมตกแต่ง ควรทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างถูกต้อง เนื่องจากการผ่าตัด ส่วนใหญ่ ถ้าได้รับ การผ่าตัด ที่ไม่ถูกต้องหรือมีผลแทรกซ้อนเกิดขึ้น จะทำให้ การผ่าตัด ครั้งต่อไปได้ผลไม่ดี หรือ อาจแก้ไขไม่ได้เลย
การผ่าตัด ศัลยกรรม เสริมความงาม นั้น เป็นการผ่าตัดในคนปกติ แต่ไม่พอใจในสภาพของร่างกายที่มีอยู่เดิม ส่วน การผ่าตัด ศัลยกรรมตกแต่ง นั้นเป็น การผ่าตัด รักษาความผิดปกติหรือความพิการที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้มีสภาพใกล้กับภาวะปกติ
การผ่าตัด ศัลยกรรมเสริมความงาม และ ผ่าตัด ศัลยกรรมตกแต่ง จำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางกายวิภาค การหายของบาดแผล ซึ่งต้องได้รับการฝึกอบรมมาอย่างถูกวิธี จึงจะทำให้ผล การผ่าตัด ได้ผลดี
การผ่าตัด ศัลยกรรมความงาม สามารถทำได้ทุกส่วนของร่างกายโดยคนไข้จะต้องอธิบายถึงความต้องการให้แพทย์ผู้ทำการรักษาทราบอย่างละเอียด เพื่อแพทย์จะได้อธิบายถึง วิธีการทำการผ่าตัดรักษา ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด ผลจากการผ่าตัด ระยะเวลาในการหายของเนื้อเยื่อ และ สิ่งที่สามารถทำการผ่าตัดได้จริง
หลังจากนั้นคนไข้จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า ต้องการผ่าตัดหรือไม่ เนื่องจาก การผ่าตัด บางประเภท เมื่อทำไปแล้วไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมก่อน การ ผ่าตัด ได้ เช่น การแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
สำหรับความยากง่ายในการผ่าตัดศัลยกรรมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ต้องบอกว่าการผ่าตัดทุกส่วนมีความยากง่ายที่ต่างกัน และ ความยากง่าย จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความถนัดของศัลยแพทย์ด้วย
หากถามถึงจุดด้อยของ การผ่าตัด ศัลยกรรมความงาม ก็อาจเกิดจากการที่มีการโฆษณาโอ้อวดเกินความเป็นจริง การให้ค่านายหน้าแก่ผู้ที่หาคนไข้ไป ทำการผ่าตัด ศัลยกรรม ซึ่งการผ่าตัด ศัลยกรรม ต้องใช้เวลาในการหายของเนื้อเยื่อ แต่คนไข้ต้องการให้ได้ผลดีหลังจากการผ่าตัดโดยเร็ว จึงควรศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน
ด้านผลข้างเคียงจาก การทำศัลยกรรมความงาม นั้น มีเช่นเดียวกันกับการผ่าตัดทั่วไป คือ ผลข้างเคียงจากยาชา เช่น แพ้ยา ได้ยาชาเกินขนาดสูงสุดที่จะรับได้ และเสียชีวิต 
นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงจากการดมยาสลบ เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน พบว่ามีอาการปอดอักเสบ มีการติดเชื้อทางกระแสเลือด และเสียชีวิต
ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ จาก การผ่าตัด ศัลยกรรม เช่น มีเลือดออก และไม่ได้ผลตามที่คนไข้ต้องการ เป็นต้น
วัสดุหลักที่นำมาใช้ใน การผ่าตัด เสริมความงาม ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
-วัสดุที่มาจากตัวคนไข้เอง ไม่ว่าจะเป็นไขมัน กระดูก และกระดูกอ่อน เป็นต้น
-วัสดุที่สังเคราะห์ขึ้น จำพวกซิลิโคน (Silicone) โพลีเอธิลีน (Polyethylene) และ PTFE พลาสติกสังเคราะห์อีกชนิด

ส่วนการใช้วัสดุสังเคราะห์มีข้อดี คือ ไม่มีแผลผ่าตัดเพิ่ม ไม่เจ็บตัวเพิ่ม แต่มีข้อเสีย คือ เป็นสิ่งแปลกปลอม อาจมีผลแทรกซ้อนในอนาคตได้ เช่น มีการติดเชื้อ วัสดุมีการทะลุออกมา เช่น ซิลิโคน (Silicone) เมื่อนำมาเสริมที่คาง จมูก จะอยู่ในสภาพเดิม เนื่องจากร่างกายจะสร้างพังผืดมาหุ้มวัสดุนั้น แต่อาจมีการบิดหรือเคลื่อนได้ถ้าถูกกระแทกแรง ๆการใช้วัสดุจากตัวคนไข้เองมีข้อดี คือ ไม่มีการแพ้และต่อต้าน แต่มีข้อเสีย คือ มีแผลจากการผ่าตัด และ อาจมีการยุบตัวลงในอนาคต รวมทั้งทำให้เกิดการเจ็บแผลผ่าตัด
คำถามที่มักพบบ่อยมาก ก็คือ การผ่าตัด ศัลยกรรม ส่วนใดของร่างกายที่นิยมทำกันมาก ต้องบอกว่า การผ่าตัดหนังตา ผ่าตัดตกแต่งจมูก ผ่าตัดเสริมทรวงอก ผ่าตัดดูดไขมัน นั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากค่ะ

ดังนั้น หากคิดที่จะทำผ่าตัด ศัลยกรรม แล้วล่ะก็ ไม่ควรละเลยที่จะศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจทำนะคะทั้งนี้ การผ่าตัด ศัลยกรรมความงาม และ ศัลยกรรมตกแต่ง มีหลักการ และ วิธีการที่ไม่แตกต่างกัน แต่ก็อยากให้ข้อคิด ไว้สำหรับผู้ที่อยากจะทำ ศัลยกรรม เสริมความงาม ว่า ต้องตัดสินใจแน่นอนว่าต้องการทำโดยตัวเอง ไม่มีคนอื่นยุยง และ ต้องศึกษาถึงผลดี ผลเสีย จาก การทำการผ่าตัด แต่ละอย่างโดยละเอียดเสียก่อน เนื่องจาก การผ่าตัด บางอย่างเมื่อทำไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้



Wednesday, October 7, 2015

เสริมจมูกทรงไหนที่สาวไทยนิยมออร์เดอร์กับหมอศัลย์??

จมูกของดาราคนไหนที่สาวไทยนิยมออร์เดอร์กับหมอศัลย์??มาดูกันว่าจมูกดาราคนไหนที่โดนใจสาวๆ จนต้องกรีดร้องและออร์เดอร์กับคุณหมอให้ทำมากที่สุด

1. อั้ม พัชราภา จมูกทรงเรียวยาวสวยจิ้มลิ้มแบบนี้

2. แอฟ ทักษอร จมูกแบบทรงหยดน้ำ น่ารักแบบชิคๆ ใสๆ

3. ชมพู่ อารยา จมูกทรงคดนิดๆ ปลายเชิดหน่อยๆ มองแล้ว “น่ารักอะ!!!”

4. เนย โชติกา จมูกสวยได้รูปเห็นสันชัดเจน สวยสะกดทุกสายตา

คุณหละชอบแบบไหน??